การเกิดกรุ๊ปเลือด
ในยุคต้นมนุษย์โบราณทุกคนมีลักษณะของเลือด หรือโปรตีนในเลือดเหมือนกันทุกคน คือ
กรุ๊ป o
เมื่อมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ตลอดจนสภาพภูมิอากาศ
ลักษณะอาหารเปลี่ยนแปรไปจากแอฟริกาเคลื่อนตัวไปทางเมดิเตอร์เรเนียน ในยุคราว 15,000
ปีก่อนคริสต์ศักราช และเริ่มอยู่รวมกันมากขึ้น
มีอุบัติการณ์การเกิดโรคระบาดเช่น อหิวาตกโรค โรคฝีดาษ ตลอดจนกาฬโรค
ซึ่งเกิดจากสภาวะสุขอนามัยที่ไม่ดี มีการติดเชื้อมากขึ้น
ส่งผมให้ร่างกายของมนุษย์ยุคนั้นเริ่มพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันชนิดใหม่ๆ ขึ้นมา
จึงเกิดบุคคลกลุ่มที่มีเลือดกรุ๊ป A
ต่อมาจึงมีการอพยพย้ายถิ่นฐานแบ่งออกเป็นสองสาย พวกหนึ่งไปทางยุโรป
อีกพวกหนึ่งมาทางเอเชียและตั้งถิ่นฐานในแถบมองโกเลีย โดยทางมองโกเลียมนุษย์เริ่มมีการเลี้ยงสัตว์
และการเพาะปลูก ลักษณะอาหารจึงเริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ชนกลุ่มมองเลีย
มีกรุ๊ปเลือดชนิดใหม่เป็นกรุ๊ป B
ส่วนกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดหลังสุดเมื่อราว 500
ปีก่อนคริสต์ศักราชนี้เอง คือ กรุ๊ป AB
ในบุคคลที่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกันนั้นจะมีรหัสข้อมูลทางพันธุกรรมของบรรพบุรุษที่ใกล้เคียงกันแฝงมาด้วย
ซึ่งเราสามรถจำแนกลักษณะเด่นของแต่ละกลุ่มได้ดังนี้
เป็นกลุ่มที่เกิดก่อน หรือเรียกว่ายุคต้น ลักษณะเด่นคือ
ระบบย่อยอาหารจะย่อยพวกเนื้อสัตว์ได้ดี แต่ย่อยพวกธัญพืชโดยเฉพาะข้าวสาลี ไข่
และนมได้ไม่ดี
เลือดกรุ๊ป
A
เป็นกลุ่มที่ย้ายถิ่นฐานมาทางเมดิเตอร์เรเนียน
วิวัฒนาการช่วงดังกล่าวมีการบริโภคพืชเป็นหลัก
ระบบย่อยอาหารไม่เหมาะต่อการบริโภคเนื้อสัตว์
รวมทั้งไข่และนมก็ย่อยได้ไม่ดีเช่นกัน
เป็นกลุ่มที่มีลักษณะเด่นในเรื่องระบบย่อยอาหารแบบสมดุล
สามารถย่อยได้ดีทั้งผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ไข่
นม และผัก
ควรบริโภคกึ่งกลางได้ทั้งผักและเนื้อสัตว์แต่ส่วนมากจะมีปฏิกิริยาปฏิเสธต่อเนื้อสัตว์ค่อนข้างรุนแรง
เป็นกลุ่มที่เกิดขึ้นมาหลังสุดมีคุณสมบัติแฝงมาทั้งของกรุ๊ป A
และกรุ๊ป B แต่มีแนวโน้มใกล้กับกรุ๊ป A
มากกว่าคือ
ไม่เหมาะสำหรับการบริโภคเนื้อสัตว์ปริมาณมากๆ แต่ยังย่อยผลิตภัณฑ์นมได้ดี
มีปฏิกิริยาปฏิเสธต่อเนื้อสัตว์
จะเห็นได้ว่ากลไกการวิวัฒนาการของอาหารสัมพันธ์ต่อการปรับตัวขอ
ระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกันควบคุมกันต่อไป
ดังนั้นองค์ประกอบขององค์มูลความรู้พื้นฐานที่สำคัญเกี่ยวกับสารอาหารกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับร่างกายที่แตกต่างกัน ภายหลังจากร่างกายได้รับสารอาหารนั้นๆ จะเป็นตัวกำหนดว่าอาหารใดเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพของคนกลุ่มหนึ่ง
แต่อาจจะเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านแก่บุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนที่ขาดหายไปของข้อมูลความรู้คือ เล็คติน (Lactin) ที่เป็นสารประกอบที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ หรืออินทรีย์วัตถุใดๆ
จะมีเล็คตินเฉพาะสารนั้นๆ ซึ่งมีความเหนียวและทำหน้าที่เหมือนกาว
เมื่อมีสารเล็คตินจากอาหารที่ทำปฏิกิริยากับเล็คตินของบุคคลนั้น ๆ
และเกาะจับกันอย่างแน่นก็จะส่งผลรบกวนต่อขบวนการย่อย การนำไปใช้
ตลอดจนขบวนการขับไปทิ้งของร่างกาย
และจะทำให้เกิดปฏิกิริยาในการต่อต้านหรือการปฏิเสธของร่างกาย ซึ่งส่งผลทำให้เกิดกระบวนการเกาะติดสะสม
(Agglutination)
ในร่างกายและในระบบหลอดเลือดได้ซึ่งล้วนแต่จะทำให้กลายเป็นปัญหาสุขภาพในระยะยาวและยังจะส่งผลไปถึงความสามารถในการควบคุมน้ำหนักตัว
ก่อนที่เราจะเข้าถึงความจำเป็นว่าในชีวิตประจำวันของเราควรจะบริโภคอะไรหรือควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทใดบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของทุก ๆ คน
เรามาทำความรู้จักเจ้าสารที่ชื่อว่าเล็คตินนี้ให้ดีกันสักหน่อย
เพราะจะเป็นผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเราทุกเมื่อเชื่อวันและอาจจะเป็นกุญแจสำคัญของชีวิตที่จะนำทางไปสู่ประตูแห่งความสำเร็จในหลายๆเรื่อง เริ่มตั้งแต่กินอาหารน้อยๆ
แต่อิ่มได้นานมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ท้องไม่อืดเพราะสร้างแก๊สน้อยลง
ไม่เรอเหม็นเปรี้ยว ไม่มีกลิ่นปาก-กลิ่นตัว สมองปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่ง่วงเหงาหาวนอน การทำงานของอวัยวะต่างๆ
ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมีภูมิต้านทานโรคที่ดีขึ้น
แข็งแรงทนทานไม่ป่วยง่ายและที่สำคัญคือ
การควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสมสามารถทำได้ง่ายขึ้น
การทำปฏิกิริยาซึ่งกันและกันระหว่างเล็คตินในร่างกายกับเล็คตินในสารอาหารที่ทานเข้าไป
เป็นขบวนการที่น่าอัศจรรย์ที่ถ่ายทอดกันมาทางพันธุกรรมเกิดขึ้นมาเป็นหลายหมื่นปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ปฏิกิริยาที่เคยเกิดขึ้นกับบรรพบุรุษเป็นอย่างไรในยุคปัจจุบันนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นกับลูกหลานเช่นกัน
เมื่อกล่าวถึงเล็คตินให้นึกถึงกาวที่มีความเหนียวชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีคุณสมบัติเมื่อเจอกับเล็คตินจำพวกใดอีกจำพวกหนึ่งแล้วอาจจะก่อให้ปฏิกิริยาจับซึ่งกันและกัน แล้วตกตะกอนไปเกาะติดตามที่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นที่ลิ้น ผิวกระเพาะ ผิวลำไส้ ตับเลือด ไต
เนื้อเยื่อสมองและเม็ดเลือดแดง
ยกตัวอย่างคนมีเลือดกรุ๊ป A กินถั่วปากอ้า (Lima
Bean) ซึ่งมีโปรตีนมีองค์ประกอบคล้ายกับที่มีในเลือดของคนกรุ๊ป
B คนที่มีเลือดกรุ๊ป A จะแสดงอาหารต่อต้าน มีการตกตะกอนของเลือด แล้วไปเกาะติดกับอวัยวะต่างๆ
และตะกอนนั้นๆ ยังมีคุณสมบัติเหมือนแม่เหล็ก (Magnetic
Effect) มีผลต่อเซลในบริเวณดังกล่าวให้เกาะติดซึ่งกันและกัน
แล้วเสื่อมสภาพลงแปรสภาพเป็นเสมือนสารแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายกลายเป็นเป้าหมายให้ระบบภูมิคุ้มกันเราต้องทำงานในการกำจัดทิ้ง
ในปัจจุบันงานวิจัยเกี่ยวกับโภชนาการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเป็นไปอย่างกว้างขวาง
มีการทดลองสกัดเอาสารเล็คตินในสารอาหารแต่ละชนิด มาหาความสัมพันธ์กับคน
ในกลุ่มเลือดกรุ๊ปเลือดต่างๆ รวบรวมไว้
แล้วให้คำแนะนำถึงแนวโน้มในที่จะก่อให้เกิดสภาวะการเกิดตกตะกอนและเกาะติดในอาหารแต่ละชนิด
ทำให้การแนะนำโภชนาการเป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นหรือแม้กระทั่งสามารถตรวจดูปฏิกิริยาเป็นรายบุคคลเพื่อให้เกิดความละเอียดมากขึ้น
เพราะแต่ละบุคคลในกลุ่มเลือดเดียวกัน
ก็ยังมีความแตกต่างในรายละเอียด
ซึ่งขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันได้เช่น นาย ก.
ชอบกินกล้วยเป็นประจำ เป็นระยะเวลานานๆ
ถึงแม้เลือดจะไม่ไวต่อการเกาะติดกับเล็คตินของกล้วยไว้มากเกินไป ก็จะสามารถส่งผลก่อให้เกิดปฏิกิริยาการตกตะกอน
และเกาะติดสะสมได้
ดังนั้นหลักการโดยทั่วไปคือ
เลือกรับประทานอาหารในกลุ่มที่ถูกกับชนิดที่ชอบซ้ำซากจำเจ และที่สำคัญที่สุดคือ
พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาตกตะกอน
และเกาะติดของอาหารชนิดนั้นตามที่รหัสพันธุกรรมของเราถูกกำหนดมาแล้วตามบรรพบุรุษเพื่อสุขภาพที่ดี
และการควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมนั้นเอง
เป็นการเลือกสารอาหารตามงานวิจัยต่างๆ โดยเฉพาะผลงานของ ดร.ปีเตอร์
เจ.ดี.อดาโม
ผู้มีชื่อเสียงเป็นผู้เขียนหนังสือ “Eat Right
For Your Type”
ผู้เขียนได้จับประเด็นมาเฉพาะบางส่วนที่เหมาะสมกับคนไทย
โดยเลือกรายการอาหารเฉพาะที่มีอยู่ในท้องตลาดของเราเท่านั้นโดยจะแบ่งอาหารออกเป็น
3
กลุ่ม
1.
กลุ่มที่ให้ประโยชน์สูงสุด
2.
กลุ่มที่รับประทานได้โดยไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน
3.
กลุ่มที่ควรจะหลีกเลี่ยง
นอกจากนั้นยังได้ระบุถึงกลุ่มอาหารที่มีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัว
และลดน้ำหนักตัวในแต่ละกรุ๊ปเลือดด้วย
จากที่กล่าวมาในบทต้นๆ
ว่าบรรพบุรุษของกรุ๊ป O เป็นนักล่า กินอาหารโปรตีนสูง
ไขมันสูง แต่กินแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตน้อย
ระบบย่อยอาหารจึงทำหน้าที่ย่อยเนื้อสัตว์ได้ดี
แต่ย่อยผลิตภัณฑ์จากนมได้ไม่ดี
ปัญหาใหญ่สำหรับกลุ่มนี้คือ สารโปรตีนที่มีอยู่ในแป้งข้าวสาลี
(Wheat Gluten) จะมีผลต่อขบวนการเมตะโบลิซึ่มของสารอิซูลิน ส่งผลทำให้ขบวนการเผาผลาญสารอาหารอื่นๆ
ขาดประสิทธิภาพลงและก่อให้เกิดการสะสมไขมันสูง
ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มมาก
·
โปรตีนจากข้าวสาลี
ขนมปังและผลิตภัณฑ์จากแป้งสาลีทุกชนิด
·
ดอกกะหล่ำ
·
ข้าวโพด
·
ผักกาดขาว
·
ผักกาดเขียว
อาหารที่มีผลต่อการลดน้ำหนักตัว
·
คะน้า
·
บล๊อคโคลี่
·
อาหารทะเล
·
ผักโขม
·
เนื้อแดง
นอกจากนั้นแนะนำให้มีการออกกำลังกายหลักเป็นประจำ
จะมีผลทำให้การควบคุมน้ำหนักตัวได้ดียิ่งขึ้น
บรรพบุรุษของเลือดกรุ๊ป A
เป็นกลุ่มที่เริ่มมีการกสิกรรมควรเลือกอาหารสดและโดยเฉพาะผักปลอดสารที่ปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ระบบย่อยผลิตภัณฑ์จากสัตว์ได้ไม่ดี เป็นคู่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับกลุ่มกรุ๊ป
O แหล่งโปรตีนหลักควรได้จากพืช เช่น เต้าหู้ ถั่วเหลือง หรือกล่าวได้ว่า
การรับประทานมังสะวิรัตเป็นผลดีต่อผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป
A และควรหลีกเลี่ยงไข่และนม
อาหารที่ส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัว
·
เนื้อสัตว์
·
แป้งสาลี
·
นม
อาหารที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักตัว
·
น้ำมันพืช
·
ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
·
เต้าหู้
·
สับประรด
นับเป็นกลุ่มชนที่มีโอกาสที่เลือกสารอาหารได้หลากหลายมากที่สุดใน
4 กรุ๊ปเลือดเพราะได้ปรับสมดุลปัจจัยทางอาหารได้ แต่ระบบภูมิคุ้มกันมีความอ่อนไหวสูง โอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันเช่น
โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
และมัลติเปิดสเคอโรซีส ได้สูง
อาหารที่ส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัว
·
แป้งสาลีและผลิตภัณฑ์จากแป้งสาลี เช่น ขนมปัง
คุกกี้
·
ข้าวโพด
·
ถั่วลิสง
·
งา
อาหารที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักตัว
·
ผักใบเขียวเกือบทุกชนิด
·
เนื้อ
·
ไข่
ข้อกำหนดสำคัญสำหรับคนกลุ่มนี้ที่น่าจะมีความระมัดระวังเป็นพิเศษคือ
ในกล้ามเนื้อของไก่จะมีสารเล็คตินที่จะทำให้เกิดการตกตะกอน
(Agglutination) ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งระบบหลอดเลือดและขบวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงหรือ เลิกรับประทานเนื้อไก่
โดยอาจจะเปลี่ยนเป็นไก่งวงเพราะจะไม่มีสารเล็คตินดังกล่าว
จะเป็นกลุ่มที่มีคุณสมบัติรวมๆกัน ระหว่างเลือดกรุ๊ป
A และกรุ๊ป
B จุดอ่อนของคนกลุ่มนี้อยู่ที่กระเพาะอาหารผลิตกรดได้น้อย
ถึงแม้บริโภคเนื้อสัตว์ได้แต่ควรบริโภคแต่น้อยเท่านั้น
อาหารที่ส่งผลต่อการเพิ่มน้ำหนักตัว
·
เนื้อแดง หมู วัว
·
เมล็ดธัญพืช
·
ถั่วปากอ้า
·
ข้าวโพด
·
แป้งสาลี
อาหารที่ส่งผลต่อการลดน้ำหนักตัว
·
โปรตีนจากถั่วเหลือง (เต้าหู้)
·
อาหารทะเล
·
ผลิตภัณฑ์จากนม
·
คะน้า
·
สับปะรด
ข้อควรระวังที่สำคัญ
จะเหมือนคนกลุ่ม B หรือควรหลีกเลี่ยง
หรือเลิกบริโภคเนื้อสัตว์เพราะมีเล็คตินก่อให้เกิดสภาวะการตกตะกอน
(Agglutination) ได้
แต่ขณะเดียวกันไข่ไก่กลับเป็นอาหารชั้นดีสำหรับคนกลุ่มนี้
ยังมีข้อมูลสำคัญกล่าวถึงเล็คตินต่างๆ
ที่เป็นสาเหตุที่เกี่ยวโยงไปถึงสภาวะการเกิดโรคเรื้อรังเช่น เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคภูมิแพ้ โรคระบบประสาท โรคระบบทางเดินอาหาร โรคตับ
โรคไต โรคมะเร็ง
ซึ่งภายหลังจากผู้ที่ประสบปัญหาได้มีการเรียนรู้หลักการบริโภคเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะการที่เล็คตินตกตะกอน
(Agglutination) แล้วปฏิบัติตามสภาวะการของโรคต่างๆ จะมีการฟื้นตัวดีขึ้น มีผลต่อสุขภาพให้ดีอยู่ได้อย่างยืนยาว
ตลอดจนสามารถใช้ศักยภาพของร่างกายได้เต็มประสิทธิภาพที่ธรรมชาติได้จัดเตรียมเลือกสรรให้ตามลักษณะทางพันธุกรรมได้เป็นอย่างดี
ขอกล่าวว่าธรรมชาติได้จัดเตรียมเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด
พิเศษที่สุดสำหรับมนุษย์แต่ละคนมาให้แล้ว
เพียงแต่เราจะมีความรู้ทันสิ่งที่ธรรมชาติได้มอบมาให้อย่างถูกต้องครบถ้วนหรือเปล่าเท่านั้นเอง
อาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุด
เนื้อ
เนื้อวัว,เนื้อแพะ,เนื้อแกะ,อาหารทะเลเช่น
ปลา
ธัญพืช
เมล็ดฟักทอง,ลูกวอลนัท,ลูกพรุน
ผัก
ผักคะน้า,ผักโขม,บล๊อคโคลี่,ผักกาดขาว,ฟักทอง,มันฝรั่ง,ผักชี,หัวหอม,กระเทียม,สาหร่าย
อื่นๆ
น้ำมันมะกอก,น้ำมันเมล็ดปอ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
นม/เนย หมูรวมไปถึงแฮม
เบคอน,ห่าน,ปลาดุก,ปลาหมึกสาย
ธัญพืช
แป้งสาลีและผลิตภัณฑ์จากแป้งสาลี,ข้าวโพด,คอร์นเฟรก,ถั่วลิสง,เม็ดมะม่วงหิมพานต์
ผัก
ผักกาดเขียว,ดอกกะหล่ำ
ผลไม้
ส้ม,มะพร้าว,แคนตาลูป,อะโวคาโด
อื่นๆ
น้ำมันจากถั่วลิสง,น้ำมันจากดอกคำฝอย,น้ำมันจากข้าวโพด
อาหารรับประทานได้โดยไม่มีปฏิกิริยา
เนื้อ ไก่และเป็ด,กุ้ง,หอย,ปู,ปลากะพง
ปลาเก๋า ปลาทูน่า
ธัญพืช
ข้าวเจ้า,ข้าวบาร์เลย์,ถั่วอัลมอนด์,เมล็ดทานตะวัน,งา,เต้าหู้
ผัก
หน่อไม้,แอสพารากัส,มะเขือเทศ,เห็ด,ขิง
ผลไม้
แอบเปิ้ล,องุ่น,ฝรั่ง,มะละกอ,แตงโม,กล้วย,อินทผาลัม
อาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุด
นม/เนย นมถั่วเหลือง
ธัญพืช
ผลิตภัณฑ์จากแป้งสาลี,เมล็ดฟักทอง,ถั่วทุกชนิด,ถั่วลิสง,โซบะ,เต้าหู้
ผัก
ผักคะน้า,ผักโขม,บล๊อคโคลี่,ผักกาดขาว,แครอท,ฟักทอง,ต้นหอม,กระเทียม
ผลไม้
สับประรด,มะนาว,ลูกพรุน,ลูกเชอร์รี่
อื่นๆ
น้ำมันมะกอก
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เนื้อ
ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
ธัญพืช
เม็ดมะม่วงหิมพานต์,ถั่วฟิตตาโซส,มันฝรั่ง,เผือก
ผัก
ผักกาดจีน,มะเขือยาว,มะเขือเทศ
ผลไม้
กล้วย,มะละกอ,มะพร้าว,แคนตาลูป
อื่นๆ
น้ำมันจากข้าวโพด,น้ำมันจากดอกคำฝอย,น้ำมันงา,น้ำมันถั่วเหลือง
อาหารที่รับประทานได้โดยไม่มีปฏิกิริยา
เนื้อ ปลาได้บางชนิด อาทิตย์ละ
2-3
ครั้ง
ผัก
ดอกกะหล่ำ,หน่อไม้,แอสพารากัส,เห็ด,ผักชี
ผลไม้
ฝรั่ง,องุ่น,แตงไท,แอบเปิ้ล,อโวคาโด,อินทผลัม,ลูกเกด
อาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุด
นม
นม,เนย,ผลิตภัณฑ์จากนม,ไข่
เนื้อ
แพะ,แกะ,ไก่งวง,ปลาทะเล,โดยเฉพาะปลาเนื้อขาว
ผัก
ผักใบเขียว,เห็ด
ผลไม้
กล้วย,มะละกอ,สับประรด
อื่นๆ
น้ำมันมะกอก
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เนื้อ
หมู,ไก่,เป็ด,ห่าน,กุ้ง,หอย,ปู
ธัญพืช
แป้งสาลี,ข้าวโพด,ถั่วเหลือง,ถั่วลิสง
ผัก
ฟักทอง,มะเขือเทศ
ผลไม้ มะพร้าว
อาหารที่รับประทานได้โดยไม่มีปฏิกิริยา
เนื้อ วัว
ผัก
หน่อไม้,แอสพารากัส,ผักโขม,แตงกวา,เห็ด,ผักชี,ขิง,กระเทียม
ผลไม้
ส้ม,มะนาว,ลูกพรุน
ไข่
เนื้อ
แพะ,แกะ,ไก่งวง,ปลากะพงแดง
ธัญพืช
ข้าวกล้อง,มันฝรั่ง,เต้าหู้
ผัก
ผักกาดเขียว,คะน้า,ดอกกะหล่ำ,บล๊อคโคลี่,มะเขือยาว,แตงกวา,แครอท,เห็ด
ผลไม้
มะละกอ,องุ่น
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เนื้อ
หมู,วัว,ไก่,เป็ด,ห่าน
ธัญพืช
เมล็ดทานตะวัน,เมล็ดฟักทอง,งา,ข้าวโพด
ผลไม้
กล้วย,ส้ม,ฝรั่ง,มะพร้าว,มะม่วง,อโวคาโด
อาหารที่รับประทานได้โดยไม่มีปฏิกิริยา
ผัก
แอสพารากัส
ผลไม้
แอบเปิ้ล,สับปะรด,ลูกแพร,ลูกพรุน,ลูกเกด,อินทผาลัม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น